สร้าง High-Trust Culture: หัวใจสำคัญขององค์กรยุคใหม่เพื่อความยั่งยืนและการเติบโต

โลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงในด้านเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค และความท้าทายทางเศรษฐกิจ “วัฒนธรรมองค์กร” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “วัฒนธรรมแห่งความไว้วางใจ” (High-Trust Culture) คือกุญแจสำคัญสู่ความอยู่รอดและการเติบโตอย่างมั่นคงขององค์กรทุกขนาด

วัฒนธรรมแห่งความไว้วางใจไม่ใช่เพียงเรื่องของความรู้สึกที่ดี หรือความสัมพันธ์อันราบรื่นระหว่างเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้ากับลูกน้องเท่านั้น แต่เป็นรากฐานที่มั่นคงซึ่งขับเคลื่อนองค์กรให้เกิดนวัตกรรม ดึงดูดและรักษาบุคลากรเก่งๆ (Talent) ไว้ได้อย่างต่อเนื่อง และมุ่งเน้นผลลัพธ์ที่มีคุณภาพ


High-Trust Culture คืออะไร? ทำไมจึงสำคัญ?

คำว่า "ไว้วางใจ" อาจฟังดูเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ส่วนบุคคล แต่แท้จริงแล้ว วัฒนธรรมแห่งความไว้วางใจในระดับองค์กรหมายถึง การสร้างสภาพแวดล้อมที่พนักงานรู้สึกปลอดภัยที่จะแสดงออก กล้าคิด กล้าพูด กล้าเสี่ยง และกล้าทำผิดพลาด โดยไม่กลัวการถูกตำหนิหรือลงโทษอย่างรุนแรง หรือที่เราเรียกว่า “ความปลอดภัยทางจิตวิทยา” (Psychological Safety)

ลองนึกภาพทีมที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง ไม่กล้าพูดความจริง ไม่กล้าเสนอความคิดเพราะกลัวถูกวิจารณ์หรือตำหนิ ทีมเช่นนี้จะสามารถสร้างนวัตกรรม หรือทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร? แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะการขาดความไว้วางใจคืออุปสรรคสำคัญของการทำงานร่วมกัน

ดังที่ Stephen M.R. Covey ผู้เขียนหนังสือ "The Speed of Trust" ได้กล่าวไว้ว่า “เมื่อความไว้วางใจสูงขึ้น ต้นทุนจะต่ำลง และความเร็วจะเพิ่มขึ้น” แนวคิดนี้สะท้อนถึงความจริงในยุคสมัยใหม่ที่องค์กรต้องมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการทำงาน การที่พนักงานต้องคอยตรวจสอบกันเองตลอดเวลา ต้องมีเอกสารรับรองมากมาย หรือต้องอธิบายทุกอย่างละเอียดเกินจำเป็น มักจะทำให้การทำงานช้าลง และทำให้องค์กรเสียเวลาและโอกาสในการแข่งขัน


ประโยชน์สำคัญของ High-Trust Culture ต่อองค์กร

การลงทุนในการสร้าง วัฒนธรรมความไว้วางใจ ให้ผลตอบแทนมหาศาลต่อองค์กรในระยะยาว ไม่ใช่แค่ "สิ่งที่ดีต่อใจ" แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพโดยตรง:

1.ดึงดูดและรักษาบุคลากร (Talent Attraction & Retention)

พนักงานที่รู้สึกว่าองค์กรไว้วางใจพวกเขา จะมีความกล้าหาญที่จะแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ และทุ่มเททำงานให้สำเร็จลุล่วงด้วยความภาคภูมิใจ ความผูกพันต่อองค์กรที่เพิ่มขึ้นนี้จะช่วยลดอัตราการลาออก (Employee Turnover Rate) และประหยัดต้นทุนมหาศาลในการสรรหาและฝึกอบรมพนักงานใหม่

2.ขับเคลื่อนนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์

นวัตกรรมจะเริ่มเติบโตได้ก็ต่อเมื่อพนักงานรู้สึกปลอดภัยที่จะ "คิดนอกกรอบ" กล้าเสนอแนวคิดใหม่ๆ แม้ว่ามันอาจจะดูแปลกใหม่ หรือเสี่ยงต่อความล้มเหลว เพราะพวกเขารู้ว่าองค์กรสนับสนุนการเรียนรู้จากความผิดพลาด การที่องค์กรสนับสนุนให้พนักงานกล้าทดลองสิ่งใหม่ๆ โดยไม่กลัวความผิดพลาด ก็คือจุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ นั่นเอง

3.เพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพ

ในองค์กรที่มีความไว้วางใจสูง พนักงานจะรู้สึกเป็นเจ้าของงานมากขึ้น ไม่ต้องคอยให้หัวหน้ามาชี้นำทุกขั้นตอน ลดการตรวจสอบที่ไม่จำเป็น ทำให้พวกเขาสามารถโฟกัสไปที่ "การทำงาน" ได้อย่างเต็มที่ แทนที่จะต้อง "ระวังตัว" ซึ่งส่งผลให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นและงานสำเร็จได้เร็วขึ้น

4.การสื่อสารโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ

เมื่อทุกคนในองค์กรเชื่อใจกัน การสื่อสารจะตรงไปตรงมา ชัดเจน และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเข้าใจผิด และช่วยให้สามารถตัดสินใจร่วมกันได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง พนักงานกล้าที่จะให้ฟีดแบ็กตรงไปตรงมา และผู้บริหารก็พร้อมที่จะรับฟังและนำไปปรับปรุง

5.เสริมสร้างการมีส่วนร่วมและพลังงานของพนักงาน (Employee Engagement)

พนักงานที่รู้สึกว่าองค์กรไว้วางใจ มอบอำนาจ และให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของพวกเขา จะมีส่วนร่วมกับองค์กรมากขึ้น มีความกระตือรือร้นในการทำงาน และรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จขององค์กร


วิธีสร้าง High-Trust Culture ในองค์กร

การสร้างวัฒนธรรมแห่งความไว้วางใจไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ชั่วข้ามคืน แต่ต้องอาศัยความมุ่งมั่นและการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจากทุกระดับ:

1.ภาวะผู้นำที่เป็นแบบอย่าง (Lead by Example)

ผู้นำคือกระจกสะท้อนวัฒนธรรมองค์กร ผู้นำต้องเป็นแบบอย่างของความซื่อสัตย์ โปร่งใส เคารพพนักงาน และไว้วางใจในศักยภาพของทีมก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อผู้นำแสดงออกถึงความไว้วางใจอย่างจริงใจ พนักงานจะรับรู้ได้ว่า “องค์กรนี้เชื่อใจในคน”

2.สร้างความปลอดภัยทางจิตวิทยา (Cultivate Psychological Safety)

ส่งเสริมให้พนักงานกล้าที่จะแสดงความคิดเห็น ถามคำถาม แจ้งปัญหา หรือเสนอแนะแนวคิดใหม่ๆ โดยไม่กลัวว่าจะถูกตัดสิน ถูกตำหนิ หรือถูกมองว่าโง่ ผู้บริหารควรสร้างบรรยากาศที่เปิดกว้างและพร้อมรับฟังทุกเสียง

3.เปิดพื้นที่สำหรับการสื่อสารสองทางที่แท้จริง (Foster True Two-Way Communication)

องค์กรที่ไว้วางใจพนักงานจะยินดีให้พนักงานได้ตอบแบบสอบถามอย่างตรงไปตรงมา เปิดช่องทางให้ข้อเสนอแนะ และที่สำคัญคือ รับฟังและนำไปพิจารณาอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่รับฟังเฉยๆ การสื่อสารที่โปร่งใสในทุกระดับจะช่วยลดความคลุมเครือและความไม่ไว้วางใจ


4.ให้ความยุติธรรมอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม (Ensure Fairness and Equity)

พนักงานทุกคนควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งสูงหรือต่ำ ระบบการประเมินผล การให้รางวัล การเลื่อนตำแหน่ง หรือการจัดการปัญหาต่างๆ ควรโปร่งใส ยุติธรรม และเป็นไปตามเกณฑ์ที่ชัดเจน การให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมจะช่วยเพิ่มความไว้วางใจในองค์กรได้อย่างมหาศาล


5.มอบอำนาจและความรับผิดชอบ (Empowerment and Accountability)

องค์กรควรให้พนักงานมีอิสระในการตัดสินใจในขอบเขตงานของตนเอง และรับผิดชอบในผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น การมอบอำนาจช่วยให้พนักงานเห็นคุณค่าในตนเอง และรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร


High-Trust Culture ในยุค Hybrid Work ยิ่งสำคัญ

หลังยุคโควิด-19 รูปแบบการทำงานแบบ Hybrid (ผสมผสาน) หรือ Remote (ทำงานจากระยะไกล) กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ องค์กรไม่สามารถใช้ระบบการควบคุมแบบเดิมๆ ที่ดูว่าใคร "นั่งอยู่ที่โต๊ะ" ได้อีกต่อไป นายจ้างต้อง เชื่อใจว่าพนักงานจะ "ส่งมอบงาน" ได้ตามเป้าหมาย ไม่ว่าจะทำงานจากที่ไหนก็ตาม

องค์กรที่ยังคงยึดติดกับการติดตามผลจากเวลาเข้า-ออก หรือวัดจากความถี่ในการรายงานผล มักจะมีปัญหาในการรักษาคนเก่งไว้ได้ เพราะพนักงานยุคใหม่ต้องการความเป็นอิสระ และต้องการการ "เชื่อใจในการทำงาน" จากองค์กร ซึ่งทำให้ วัฒนธรรมแห่งความไว้วางใจ กลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำงานแบบยืดหยุ่น


วัฒนธรรมแห่งความไว้วางใจ (High-Trust Culture) ไม่ใช่แค่ "สิ่งที่ดีต่อใจ" แต่เป็นองค์ประกอบสำคัญเชิงกลยุทธ์ที่องค์กรยุคใหม่จะมองข้ามไปไม่ได้ สำหรับฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) วัฒนธรรมแห่งความไว้วางใจนี้ส่งผลต่อทุกองค์ประกอบของการสรรหา การพัฒนา หรือการดูแลพนักงาน

หากองค์กรสามารถปลูกฝัง High-Trust Culture ได้อย่างแท้จริง พลังความร่วมมือ ความคิดสร้างสรรค์ และความผูกพันของพนักงานจะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

Previous
Previous

พลิกโฉม HR ยุคใหม่: AI ขับเคลื่อนการบริหารทรัพยากรบุคคลให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน

Next
Next

9 สัญญาณเตือนภัยจาก ‘Toxic Job’ ในองค์กรคุณ