Work from Home ในยุค AI : รวมมุมมอง CEO ระดับโลกและไทย พร้อมแนวทาง HR ปรับตัวสู่ Hybrid Work ที่ยั่งยืน

ธุรกิจทุกวันนี้ไม่ได้แค่ปรับตัวตามเทรนด์ แต่เหมือนถูกบังคับให้ก้าวสู่โลกใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีแบบเต็มระบบ หลังช่วงโควิด-19 การทำงานแบบ Work from Home หรือ Remote Work ไม่ได้เป็นทางเลือกอีกต่อไป แต่กลายเป็นเรื่องปกติที่หลายองค์กรต้องมีไว้ในระบบ และยิ่งไปกว่านั้น เทคโนโลยีอย่าง AI ก็เริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานในชีวิตจริงแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อโลกของเราเปลี่ยนเร็วขนาดนี้ HR เลยกลายเป็นมากกว่าฝ่ายสนับสนุน แต่เป็นเหมือนพาร์ตเนอร์สำคัญที่จะพาองค์กรเดินเกมต่อให้ทัน ไม่ใช่แค่ตั้งรับ แต่ต้องคิดเผื่อ และวางแผนให้คนในทีมพร้อมรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเปลี่ยน

บทความนี้เลยอยากชวนมาดูมุมมองของซีอีโอและผู้นำหลายคน ทั้งในไทยและต่างประเทศว่าเขาเห็นอนาคตของ Hybrid Work ยังไง และ HR จะวางแผนอย่างไรได้บ้าง เพื่อให้วัฒนธรรมองค์กรไม่สะดุด และคนในทีมเติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน


Work from Home ในยุค AI : มุมมองจากผู้นำองค์กรระดับโลก

ในช่วงที่โลกการทำงานกำลังเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ ผู้นำองค์กรระดับโลกต้องเผชิญกับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญเกี่ยวกับรูปแบบการทำงานในอนาคต และจากการติดตามแนวโน้มในช่วงหลัง เราสามารถแบ่งมุมมองออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้

1. กลุ่มที่เชื่อมั่นใน Hybrid Work: ผสาน AI เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

ผู้นำกลุ่มนี้มองว่า Hybrid Work คือโมเดลที่ตอบโจทย์อนาคตมากที่สุด โดยมองไกลถึงการใช้เทคโนโลยีและ AI เป็นตัวช่วยสร้างสมดุลระหว่างความยืดหยุ่นในการทำงาน ประสิทธิผลขององค์กร และการรักษาบุคลากรที่มีศักยภาพให้อยู่กับองค์กรในระยะยาว

  • Satya Nadella (Microsoft)

    เน้นว่าอนาคตของการทำงานจะต้องขับเคลื่อนด้วยแพลตฟอร์มและ AI ที่ช่วยให้คนทำงานได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น ร่วมมือกันได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญคือต้องไม่กระทบกับคุณภาพชีวิตของพนักงาน เพราะความสมดุลคือหัวใจของการรักษาคนเก่งในยุคนี้

  • Tim Cook (Apple)

    ถึงแม้จะให้ความสำคัญกับการพบปะกันแบบเจอตัวจริงในออฟฟิศ แต่ Apple ก็ปรับเข้าสู่โมเดล Hybrid โดยเน้นการ “ทำงานร่วมกันอย่างมีจุดประสงค์” ให้พนักงานเข้าบางวัน เพื่อให้ยังเกิดแรงบันดาลใจร่วมกัน และต่อยอดสู่ไอเดียใหม่ ๆ ได้

  • Andy Jassy (Amazon)

    ยังยึดแนวคิดให้ทำงานที่ออฟฟิศเป็นหลัก เพราะเชื่อว่าสิ่งนี้ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ไว และบ่มเพาะวัฒนธรรมองค์กรได้ลึกกว่า แต่ก็เปิดพื้นที่ให้บางตำแหน่งสามารถทำงานทางไกลได้ หากเนื้องานเหมาะสมและวัดผลได้ชัดเจน

2. กลุ่มที่ผลักดันการกลับสู่ออฟฟิศเต็มเวลา : โฟกัสที่ประสิทธิผลและวัฒนธรรมองค์กร

กลุ่มนี้มีความเชื่อว่าการทำงานเจอตัวกันยังจำเป็นต่อการสร้างวัฒนธรรมและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยมองว่าการกลับเข้าสำนักงานคือการลงทุนเพื่ออนาคตองค์กร

  • Jamie Dimon (JPMorgan Chase)
    เคยแสดงจุดยืนชัดว่าการทำงานในออฟฟิศช่วยให้พนักงาน โดยเฉพาะรุ่นใหม่ เรียนรู้และเติบโตได้ไวขึ้น แต่ด้วยความเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน เขาเริ่มปรับแนวคิด และยอมรับ Hybrid Work สำหรับบางแผนก เพื่อให้ดึงดูดคนเก่งได้มากขึ้น

  • Elon Musk (Tesla, X)

    ขึ้นชื่อว่าชัดเจนและตรงไปตรงมา โดยสนับสนุนการกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ 100% ด้วยเหตุผลเรื่องประสิทธิภาพและการสร้างนวัตกรรมที่รวดเร็ว เขายังให้ความสำคัญกับการใช้ AI และระบบอัตโนมัติเพื่อเพิ่มสปีดและผลลัพธ์ของงานในสถานที่จริง

3. กลุ่มที่ให้ความยืดหยุ่นเต็มที่ : เชื่อในอิสระ ความไว้ใจ และผลลัพธ์

สุดท้ายคือผู้นำที่เน้นผลลัพธ์เป็นหลัก พนักงานจะทำงานจากที่ไหนก็ได้ แค่มีเป้าหมายที่ชัดเจนและวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแรง

  • Airbnb

    ยึดหลัก “Live and Work Anywhere” ให้พนักงานเลือกสถานที่ทำงานได้ตามสะดวก สะท้อนแนวคิดที่เชื่อในความรับผิดชอบของแต่ละคน และความสามารถในการสร้างผลงานจากที่ไหนก็ได้

  • Dropbox
    วางโมเดล “Virtual First” คือให้การทำงานจากที่ไหนก็ได้ และสร้างพื้นที่ที่เรียกว่า “Dropbox Studios” สำหรับใช้ประชุมหรือทำงานร่วมกันเมื่อจำเป็น ลดการยึดติดกับออฟฟิศแบบเดิม ๆ


มุมมอง CEO ไทยกับการทำงานแบบ Work from Home ในยุคนี้

สำหรับประเทศไทย มุมมองของ CEO ต่อ Work from Home และ Hybrid Work มีความท้าทายและประเด็นสำคัญที่ต้องเข้าใจ เพราะสะท้อนบริบทชีวิตและวัฒนธรรมองค์กรแบบไทยที่แตกต่างจากประเทศอื่น

  • ลดเวลารถติด เพิ่มคุณภาพชีวิต

หลายผู้นำองค์กรไทยเห็นตรงกันว่าปัญหาการจราจรในเมืองใหญ่ๆ เช่น กรุงเทพฯ เป็นสาเหตุทำให้พนักงานเสียเวลาส่วนตัวและพลังงานอย่างมาก การทำงานจากบ้านหรือแบบ Hybrid Work จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่กลายเป็นทางออกที่ช่วยลดความเครียด สร้างความสมดุลระหว่างชีวิตและงานได้ดีขึ้น และเพิ่มความพึงพอใจในการทำงาน

  • วัฒนธรรมองค์กรแบบคนไทยยังมีความสำคัญ

องค์กรไทยส่วนใหญ่ยังให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์แบบ “ครอบครัว” ที่เน้นความใกล้ชิด การทำงานร่วมกันเป็นทีม และการพบปะกันแบบตัวต่อตัว งานทางไกลจึงอาจทำให้บรรยากาศนี้ลดน้อยลง ผู้นำจึงพยายามสร้าง “วัฒนธรรมองค์กรดิจิทัล” โดยใช้เทคโนโลยีและกิจกรรมออนไลน์ช่วยเชื่อมความสัมพันธ์ เพื่อรักษาความเหนียวแน่นของทีม แม้ไม่ได้พบกันทุกวัน

  • เร่งลงทุนเทคโนโลยีและพัฒนาทักษะดิจิทัล

อีกหนึ่งประเด็นที่ CEO ไทยให้ความสำคัญ คือ การพัฒนาทักษะดิจิทัลของพนักงานอย่างจริงจัง ผ่านการฝึกอบรม Re-skill และ Up-skill เพื่อให้ทุกคนพร้อมรับมือกับโลกการทำงานยุคใหม่ รวมถึงการนำ AI มาใช้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และเสริมความได้เปรียบให้ธุรกิจไทยในตลาดโลก


กรณีศึกษา: กลยุทธ์การประยุกต์ใช้ Work from Home และ Hybrid Work โดย CEO ไทย

  • คุณศุภกิจ ศุภณัฐพันธุ์ (กลุ่มดุสิตธานี)

 เน้นการนำเทคโนโลยีและ AI เข้ามาช่วยในธุรกิจโรงแรม ที่ต้องการการบริการแบบตรงตัวและสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคล เช่น ระบบคอนเซียร์จเสมือนและบริการอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการให้บริการลูกค้า โดย AI ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเบื้องหลัง คอยจัดการงานประจำต่าง ๆ เพื่อให้ทีมงานโฟกัสกับงานที่สร้างมูลค่าได้มากขึ้น

  • คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี (ไทยเบฟเวอเรจ)

พัฒนาระบบ Hybrid Work ที่สมดุลระหว่างการทำงานในออฟฟิศและจากระยะไกล โดยเน้นวัดผลผลงานเป็นหลัก พร้อมลงทุนใน Digital Workplace Platform เพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรดิจิทัลที่แข็งแกร่ง ส่งเสริมการทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น แม้ว่าทีมจะไม่ได้อยู่ในที่เดียวกัน

  • อรพินท์ เกตุรัตนกุล (Cisco Systems ประเทศไทย)

สนับสนุนแนวคิด “Hybrid Work Ecosystem” ที่ผสานกันระหว่างกระบวนการทำงาน เทคโนโลยี และคน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการทำงานทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม โดยมองว่าเทคโนโลยีเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้การทำงานยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เข็มทิศสู่การปรับตัวอย่างยั่งยืน : บทบาทเชิงกลยุทธ์ของ HR ในยุค Hybrid Work และ AI

ในยุคที่ Work from Home และ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการทำงาน HR ไม่ใช่แค่ฝ่ายสนับสนุนธรรมดาอีกต่อไป แต่กลายเป็น “ผู้ขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์” ที่สำคัญที่สุดขององค์กร เพื่อให้องค์กรสามารถอยู่รอด แข่งขัน และเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในโลกใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มาดูกันว่า HR ต้องทำอะไรบ้างเพื่อเตรียมตัวรับมือ

  • ดีไซน์ประสบการณ์การทำงานที่เข้าใจทั้งองค์กรและคนทำงาน

เริ่มจากการเข้าใจว่างานแบบไหนควรทำที่บ้าน งานแบบไหนต้องเข้าออฟฟิศอย่างชัดเจน เพื่อออกแบบ Hybrid Work ที่ลงตัวและลื่นไหลที่สุด พร้อมใช้ข้อมูลเสียงพนักงานจริง ๆ ผ่าน People Analytics และการสำรวจ เพื่อจับความต้องการและความท้าทายที่แท้จริง จากนั้นนำข้อมูลไปปรับนโยบายและสภาพแวดล้อมการทำงานให้ตอบโจทย์มากขึ้น

  • นโยบายชัดเจนแต่ยืดหยุ่น ตามโลกที่เปลี่ยนไว

กำหนดกฎเกณฑ์เรื่องวันเข้าออฟฟิศ ชั่วโมงทำงานหลัก และการประเมินผลงานให้ชัดเจน เข้าใจตรงกันทุกฝ่าย พร้อมพัฒนานโยบายที่ยืดหยุ่น รองรับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและรูปแบบงานใหม่ ๆ เพื่อให้พนักงานรู้สึกว่ามีอิสระแต่ยังคงความรับผิดชอบสูงสุด

  • เทคโนโลยีและ AI คือเครื่องมือสำคัญที่ต้องลงทุน

เลือกใช้ Collaboration Platform ที่ช่วยให้การทำงานร่วมกันไร้รอยต่อ เช่น Microsoft Teams, Slack หรือ Google Workspace รวมถึงส่งเสริมการใช้ AI ในงานที่ซ้ำซ้อนอย่างการจดบันทึกอัตโนมัติ การวิเคราะห์ข้อมูล หรือการจัดการโครงการ เพื่อให้พนักงานโฟกัสกับงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ เตรียมพร้อมรับเทคโนโลยี VR/AR เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการประชุมและฝึกอบรม

  • การสื่อสารและสร้างการมีส่วนร่วมแบบครอบคลุมทุกช่องทาง

สื่อสารอย่างต่อเนื่องผ่านทุกช่องทาง ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้ทุกคนไม่หลุดจากข่าวสารและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม เสริมด้วยกิจกรรมที่เชื่อมความสัมพันธ์ แม้จะอยู่ห่างกัน และมอบประสบการณ์เฉพาะตัวผ่าน AI เพื่อเพิ่มความรู้สึกได้รับการดูแลและเห็นคุณค่า

  • พัฒนาผู้นำยุคใหม่ที่พร้อมบริหารทีม Hybrid

ผู้นำต้องเปลี่ยนจากการจับตาดูเวลาทำงาน มาเป็นการโฟกัสผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น และเก่งทั้งการสื่อสารในโลกดิจิทัล การโค้ช และสร้างความไว้วางใจในทีมที่กระจายตัวอยู่ พร้อมพัฒนาทักษะ “Digital Empathy” เข้าใจความรู้สึกและความเครียดของทีม แม้ไม่ได้เจอกันตัวต่อตัว

  • ดูแลสุขภาพใจและกายของพนักงานอย่างครบวงจร

ส่งเสริมโปรแกรมดูแลสุขภาพกาย ใจ การเงิน และสังคม โดยเฉพาะในยุคที่เส้นแบ่งชีวิตส่วนตัวกับงานเบลอมากขึ้น สนับสนุนให้พนักงานได้พักผ่อนอย่างเหมาะสม พร้อมจัดสภาพแวดล้อมการทำงานที่บ้านตามหลักสรีรศาสตร์เพื่อสุขภาพระยะยาว

  • สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง แม้ในโลก Hybrid

ใช้ช่องทางดิจิทัลและกิจกรรมออนไลน์ ถ่ายทอดค่านิยมองค์กรอย่างชัดเจน สร้างกิจกรรมที่ช่วยให้คนอยากเข้ามาพบปะกันจริง ๆ และเล่าเรื่องความสำเร็จของพนักงานกับองค์กรเพื่อเสริมความภูมิใจและผูกพัน

  • วัดผลและปรับปรุงด้วยข้อมูลจริงอย่างต่อเนื่อง

เปลี่ยนมาใช้ OKRs ที่เน้นผลลัพธ์แทนชั่วโมงทำงาน ตั้งระบบรับฟีดแบ็กแบบต่อเนื่องและทันที เพื่อปรับปรุงนโยบายและแนวทางให้ทันสถานการณ์ รวมถึงมีระบบชื่นชมผลงานที่เหมาะกับ Hybrid Work เพื่อกระตุ้นขวัญกำลังใจพนักงาน

  • ความปลอดภัยไซเบอร์ในโลกที่กระจายศูนย์

นำแนวคิด Zero-Trust Security มาใช้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านข้อมูล พร้อมจัดอบรมความรู้เรื่องไซเบอร์และกฎระเบียบต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทุกคนตระหนักและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

  • เตรียมคนให้พร้อมรับมืออนาคตร่วมกับ AI

 วางกลยุทธ์รับมือเทคโนโลยีและแนวโน้มแรงงานในอนาคต สร้างความร่วมมือระหว่างมนุษย์และ AI ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อยกระดับศักยภาพองค์กรไปอีกขั้น

สรุปจากมุมมอง CEO ทั่วโลกและในประเทศไทย

Work from Home ไม่ใช่แค่เทรนด์ชั่วคราวอีกต่อไป แต่กำลังพัฒนาเป็นรูปแบบ Hybrid Work ที่สมดุลและยืดหยุ่นมากขึ้น โดยมีเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เป็นตัวเร่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและนวัตกรรมให้กับองค์กร

คำถามสำคัญสำหรับองค์กรในยุคนี้ไม่ใช่แค่ “Work from Home ยังจำเป็นหรือไม่?” แต่คือ “รูปแบบ Work from Home หรือ Hybrid Work แบบใดที่เหมาะกับวัฒนธรรม ธุรกิจ และเป้าหมายขององค์กร เพื่อสร้างผลิตภาพและวัฒนธรรมที่ยั่งยืนในโลกที่ AI และเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว?”

HR มีบทบาทสำคัญในการทำงานร่วมกับผู้บริหารและทุกฝ่าย เพื่อออกแบบนโยบายที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจ ส่งเสริมให้พนักงานมีความสุข มีผลิตภาพ และเติบโตไปพร้อมกับองค์กรยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม

องค์กรที่ประสบความสำเร็จในอนาคต คือองค์กรที่สร้าง Work Ecosystem ครอบคลุมทั้ง Remote, Hybrid และ On-site ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมตอบโจทย์ความยืดหยุ่นที่บุคลากรยุคใหม่ต้องการในศตวรรษที่ 21 ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และนวัตกรรม

โดย HR คือกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพบุคลากร และขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จและความยั่งยืนในอนาคตที่ท้าทายนี้

Next
Next

สร้างสวัสดิการพนักงานที่ดี ไม่ต้องใช้งบมหาศาล: HR SMEs ทำได้จริง!