Work from Home ยังจำเป็นอยู่ไหม? ความท้าทายใหม่สำหรับ HR และองค์กรไทย

HR หลายๆ คนอาจกำลังเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ที่กำลังเป็นที่พูดถึง “นโยบาย Work from Home” ซึ่งเข้ามามีบทบาทนการเปลี่ยนโลกธุรกิจอย่างฉับพลันในช่วงโควิด-19 แต่ในปี 2025 นี้ สถานการณ์ได้กลับสู่ภาวะปกติ จึงเป็นที่จับตามองว่า องค์กรทั่วโลกและในไทยกำลังทบทวนนโยบาย Work from Home และ work remote โดย HR หลายๆ คนอาจอยากรู้มุมมองของผู้บริหารทั้งองค์กรระดับโลกและในประเทศไทย เพื่อเป็นแนวทางสำหรับ HR ยุคใหม่ในการปรับนโยบายขององค์กร ให้เหมาะสมกับยุคที่ AI และเทคโนโลยีดิจิทัลกำลังเปลี่ยนโฉมหน้าการทำงานอย่างรวดเร็ว

CEO องกรณ์ระดับโลกมีมุมมองแบบไหน?

มุมมองของ CEO ระดับโลกต่อนโยบาย Work from Home นั้นมีหลากหลาย ซึ่งสะท้อนถึงลักษณะธุรกิจ วัฒนธรรมองค์กร และประสบการณ์ที่แตกต่างกัน จัดเป็น 3 กลุ่มดังนี้

1.กลุ่มสนับสนุนความยืดหยุ่นและ Hybrid:

  • Satya Nadella (Microsoft): มองว่าความยืดหยุ่นคือสิ่งสำคัญ และอนาคตคือการทำงานแบบ Hybrid ที่ผสมผสานการทำงานในออฟฟิศและจากทางไกล เพื่อดึงดูด Talent เก่งๆ รวมถึงส่งเสริมพนักงานให้มีความ Fexible ในการทำงานได้อย่างอิสระ จากการ Work from Home พร้อมทั้งสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกันแบบไร้ขีดจำกัด

  • Tim Cook (Apple): แม้จะเน้นย้ำความสำคัญของการทำงานร่วมกันในออฟฟิศ แต่ก็ยอมรับรูปแบบ Hybrid หรือ Work from Home โดยให้พนักงานเข้าออฟฟิศบางวันต่อสัปดาห์ เพื่อรักษาวัฒนธรรมองค์กรและกระตุ้นนวัตกรรม โดยปัจจุบันเน้นเรื่อง "Purposeful Collaboration" คือการเข้าออฟฟิศอย่างมีเป้าหมายชัดเจน

  • Andy Jassy (Amazon): เน้นการกลับเข้าออฟฟิศเป็นหลักแทนการ Work from Home โดยเชื่อว่าการทำงานร่วมกันแบบเห็นหน้าจะช่วยสร้างนวัตกรรมและการเรียนรู้ได้ดีกว่า แต่ก็ยังเปิดกว้างสำหรับบางตำแหน่งที่สามารถทำงานทางไกล (Work Remote) ได้ โดยปรับนโยบายให้สอดคล้องกับผลสำรวจประสิทธิภาพการทำงานอย่างต่อเนื่อง

2.กลุ่มเน้นการกลับเข้าออฟฟิศ (Return-to-Office):

  • Jamie Dimon (JPMorgan Chase): เป็นหนึ่งในผู้ที่สนับสนุนการกลับเข้าออฟฟิศอย่างแข็งขัน โดยให้เหตุผลว่า Work from Home ไม่เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะพนักงานใหม่ และส่งผลกระทบต่อการสร้างสรรค์ วัฒนธรรมองค์กร และการพัฒนาบุคลากร อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีการยอมรับรูปแบบ Hybrid หรือการ Work from Home มากขึ้นสำหรับบางแผนก โดยเฉพาะฝ่ายเทคโนโลยี

  • Elon Musk (Tesla, X): มีนโยบายชัดเจนให้พนักงานกลับเข้าทำงานในออฟฟิศเต็มเวลา โดยมองว่าการทำงานทางไกล (Work Remote) หรือการ Work from Home ลดทอนประสิทธิภาพและนวัตกรรม (ยกเว้นกรณีพิเศษ) แต่ก็เน้นการใช้ AI และระบบอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในออฟฟิศ

3.กลุ่มเปิดกว้างและปรับตามสถานการณ์:

  • CEO จำนวนมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและบริการ ยังคงเปิดกว้างต่อนโยบาย Work from Home หรือ Hybrid โดยมองว่าเป็นจุดเด่นหรือนโยบายในการดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถ (Talent) ทั่วโลก และช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายสำหรับสำนักงาน

  • Airbnb ยังคงรักษานโยบาย "Live and Work Anywhere" ที่ให้พนักงานสามารถทำงานได้จากที่ไหนก็ได้ในประเทศของตน โดยเห็นว่าสามารถรักษาทั้งผลงานและวัฒนธรรมองค์กรผ่านการพบปะกันเป็นระยะ

  • Dropbox สร้างแนวคิด "Virtual First" ที่ให้พนักงานทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work Anywhere) เป็นหลัก แต่จัดให้มี "Dropbox Studios" เป็นพื้นที่สำหรับการทำงานร่วมกันเป็นครั้งคราว

แล้ว CEO ของไทยเรามีมุมมองใดบ้าง?

สำหรับ CEO ในประเทศไทย การพิจารณาเรื่อง Work from Home มักจะคำนึงถึงปัจจัยที่เป็นเอกลักษณ์ เหล่านี้

ปัญหาการเดินทางหรือจราจร และคุณภาพชีวิต

CEO หลายคนเมองว่าการเดินทางในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ เป็นปัญหาใหญ่และทำให้พนักงานเสียพลังงานและเวลาไปกับการเดินทาง ดังนั้นการมีนโยบาย Work from Home หรือ Hybrid จะช่วยลดความเครียดและเพิ่มเวลาส่วนตัวให้พนักงานได้จริง นอกจากนี้ยังช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ สอดคล้องกับเป้าหมาย ESG ที่องค์กรไทยให้ความสำคัญมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

วัฒนธรรมการทำงานแบบครอบครัวและความสัมพันธ์

องค์กรไทยจำนวนไม่น้อยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และการทำงานเป็นทีม ทำงานแบบใกล้ชิด การมีนโยบาย Work from Home อาจเป็นความท้าทายในการรักษาวัฒนธรรมส่วนนี้ ทำให้ CEO บางส่วนต้องการให้มีการพบปะกันในออฟฟิศบ้าง บางองค์กรพัฒนา "วัฒนธรรมองค์กรแบบดิจิทัล" ที่สามารถพูดคุยและสนับสนุนให้พนักงานทำงานเป็นทีมได้ในโลกออนไลน์ แม้มีการ Work from Home

ความพร้อมด้านเทคโนโลยีและทักษะดิจิทัล

แม้จะพัฒนาขึ้นมาก แต่ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีของพนักงานแต่ละคน และทักษะในการใช้เครื่องมือดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ ยังเป็นสิ่งที่ CEO ไทยนำมาพิจารณา โดยเฉพาะการปรับตัวสู่การใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งองค์กรหลายแห่งเร่งลงทุนในการ Re-skill และ Up-skill พนักงาน

ลักษณะธุรกิจและความจำเป็นในการติดต่อลูกค้า

ธุรกิจบริการบางประเภท หรือตำแหน่งที่ต้องพบปะลูกค้าโดยตรง อาจไม่เอื้อต่อการ Work from Home เต็มรูปแบบ อย่างไรก็ตามเทคโนโลยี VR/AR และ Digital Twin กำลังช่วยให้การให้บริการทางไกลมีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ (กลุ่มดุสิตธานี): แม้ธุรกิจโรงแรมและบริการต้องการการปฏิสัมพันธ์โดยตรง แต่ก็เห็นคุณค่าของการนำระบบ Hybrid มาใช้กับฝ่ายสนับสนุน นำ AI และเทคโนโลยีล้ำสมัยมาเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแบบผสมผสาน เช่น ระบบ Virtual Concierge และการเช็คอินอัตโนมัติ

  • คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี (ไทยเบฟเวอเรจ): ให้ความสำคัญกับการสร้างความผูกพันของพนักงานควบคู่กับการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) โดยพัฒนาระบบ Hybrid ที่สมดุล เน้นการวัดผลงานที่ชัดเจน และมีการนำ Digital Workplace Platform มาใช้เพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรดิจิทัลที่แข็งแกร่ง

  • คุณอรพินท์ เกตุรัตนกุล (Cisco Systems ประเทศไทย): เชื่อมั่นในพลังของเทคโนโลยีที่ช่วยสร้าง "Hybrid Work Ecosystem" ที่มีประสิทธิภาพ โดยเน้นการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงาน (Process) เทคโนโลยี (Technology) และบุคลากร (People) ไปพร้อมกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

HR ควรพิจารณานโยบายอย่างไร จากมุมมอง CEO ในยุคดิจิทัล

HR คือผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการออกแบบและขับเคลื่อนนโยบายการทำงาน ให้สอดคล้องกับทั้งกลยุทธ์องค์กรและความต้องการของพนักงาน จุดสำคัญที่ HR ควรนำมาพิจารณาคือ

1. WFH ไม่ใช่ One-Size-Fits-All:

  • วิเคราะห์ลักษณะงานและบุคลากร: งานใดเหมาะกับ Work from Home งานใดต้องการการทำงานร่วมกันในออฟฟิศ หรือ Hybrid แบบไหนถึงจะลงตัว โดยคำนึงถึงทั้งลักษณะงานและรูปแบบการทำงานที่พนักงานแต่ละคนมีประสิทธิภาพสูงสุด

  • รับฟังเสียงพนักงาน: ทำความเข้าใจความต้องการและความกังวลของพนักงานแต่ละกลุ่ม อาจใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (People Analytics) เพื่อการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ

2. สร้างนโยบายที่ชัดเจนและยืดหยุ่น:

  • กำหนดกฎเกณฑ์การ Work from Home ที่ชัดเจน: เช่น จำนวนวันเข้าออฟฟิศ ชั่วโมงการทำงานที่คาดหวัง การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล

  • Dynamic Policy: ออกแบบนโยบายที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ บทบาทของพนักงาน และความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป

3. ลงทุนในเทคโนโลยีและเครื่องมือดิจิทัล:

  • Collaboration Platform ที่ครบวงจร: จัดหาเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการทำงานร่วมกันทางออนไลน์ การสื่อสาร และการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์

  • AI-powered Tools: นำเครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เช่น การจดบันทึกการประชุมอัตโนมัติ การวิเคราะห์ข้อมูล และการจัดการตารางงาน

  • VR/AR สำหรับการประชุมเสมือนจริง: พิจารณาใช้เทคโนโลยี Virtual Reality หรือ Augmented Reality เพื่อสร้างประสบการณ์การประชุมที่เสมือนจริงมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับการ Onboarding พนักงานใหม่หรือการฝึกอบรม

4. ให้ความสำคัญกับการสื่อสารและสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement):

  • Omni-channel Communication: ส่งเสริมการสื่อสารที่สม่ำเสมอและโปร่งใส ผ่านหลากหลายช่องทางทั้งแบบทางการและไม่ทางการ

  • Virtual Engagement Activities: หากิจกรรมสร้างความผูกพันรูปแบบใหม่ที่เหมาะกับพนักงานที่ทำงานทางไกลและในออฟฟิศ โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นสื่อกลาง

  • Personalized Experience: ใช้ข้อมูลและ AI เพื่อสร้างประสบการณ์การทำงานที่เฉพาะตัวสำหรับพนักงานแต่ละคน

5. พัฒนาทักษะผู้จัดการ (Managerial Skills):

  • Leadership for Digital Age: ฝึกอบรมผู้จัดการให้สามารถบริหารทีมแบบ Hybrid ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการตั้งเป้าหมาย การติดตามงาน การให้ Feedback และการดูแลสุขภาพจิตของลูกทีม

  • Outcome-based Management: ปรับเปลี่ยนวิธีการบริหารจัดการจากการควบคุมเวลาทำงาน (Time-based) เป็นการมุ่งเน้นผลลัพธ์ (Outcome-based)

  • Digital Empathy: พัฒนาทักษะความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผ่านสื่อดิจิทัล เพื่อให้การสื่อสารทางไกลยังคงความเป็นมนุษย์และความอบอุ่น

6. ดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน (Well-being):

  • Holistic Wellbeing Program: สนับสนุนให้พนักงานรักษาสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว (Work-Life Balance) ผ่านโปรแกรมที่ครอบคลุมทั้งสุขภาพกาย ใจ การเงิน และสังคม

  • Digital Detox: เฝ้าระวังภาวะหมดไฟ (Burnout) และความเครียดจากการทำงานทางไกล พร้อมทั้งสนับสนุนให้พนักงานมีช่วงเวลาปลอดเทคโนโลยี

  • Ergonomics Support: จัดสรรงบประมาณหรือให้คำแนะนำเรื่องการจัดพื้นที่ทำงานที่บ้านให้ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์ เพื่อลดปัญหาสุขภาพในระยะยาว

7. รักษาและเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กร:

  • Digital Culture: หาวิธีในการถ่ายทอดค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรไปสู่พนักงานที่ Work from Home ผ่านช่องทางดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ

  • Purpose-driven Gatherings: ใช้เวลาที่พนักงานเข้าออฟฟิศให้เป็นประโยชน์สูงสุดในการสร้างความสัมพันธ์และทีมเวิร์ค โดยมีวัตถุประสงค์ชัดเจน

  • Story-telling: ใช้การเล่าเรื่องราวความสำเร็จและบทเรียนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร แม้จะทำงานจากระยะไกล

8. การวัดผลและประเมินผลงาน (Performance Management):

  • OKRs & KPIs for Remote Work: ปรับระบบการวัดผลให้เน้นผลลัพธ์ของงาน (Outcome-based) มากกว่าการจับตาดูชั่วโมงการทำงาน

  • Continuous Feedback: ใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างระบบ Feedback แบบต่อเนื่องและทันที (Real-time) แทนการประเมินผลแบบรายปีเพียงอย่างเดียว

  • Recognition Systems: พัฒนาระบบการยกย่องชมเชยที่มีประสิทธิภาพสำหรับทีมที่ทำงานแบบไฮบริด เพื่อสร้างแรงจูงใจและความผูกพัน

9. ความปลอดภัยทางไซเบอร์และการปกป้องข้อมูล:

  • Zero-Trust Security: นำแนวคิด "ไม่เชื่อใจโดยเริ่มต้น" มาใช้ในการออกแบบระบบรักษาความปลอดภัย เพื่อปกป้องข้อมูลองค์กรในยุคที่พนักงานเข้าถึงระบบจากหลากหลายสถานที่

  • Regular Training: จัดอบรมเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้พนักงานตระหนักถึงภัยคุกคามรูปแบบใหม่

10. การวางแผนอนาคตและการปรับตัวต่อ AI:

  • Future of Work Strategy: วางแผนระยะยาวสำหรับรูปแบบการทำงานในอนาคต โดยคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI ที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าการทำงาน

  • Human-AI Collaboration: เตรียมพร้อมพนักงานสำหรับการทำงานร่วมกับ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณค่าของงาน

HR หลายๆ คนที่อ่านมาถึงตรงนี้ คงจะได้คำตอบแล้วว่านโยบาย Work From Home ยังจำเป็นอยู่ไหม ? เพราะ Work From Home ยังจำเป็นต่อองค์กรและพนักงานอยู่ แต่อาจในรูปแบบที่ "ใช่" สำหรับองค์กรในยุคดิจิทัล

จากมุมมองของ CEO ทั่วโลกและในไทย เห็นได้ชัดว่า Work From Home ไม่ได้หายไปไหน แต่กำลังถูกปรับเปลี่ยนรูปแบบให้สมดุลที่มากขึ้น โดยการนำมีเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เป็นตัวเร่งและตัวสนับสนุนสำคัญ คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ "Work From Home ยังจำเป็นอยู่ไหม?" แต่เป็น "Work From Home หรือ Hybrid แบบไหนที่เหมาะสมกับองค์กรของเราที่สุดในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว?"

HR ทุกคนมีบทบาทสำคัญในการตอบคำถามนี้ โดยต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้บริหารและพนักงาน เพื่อออกแบบนโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่น ตอบโจทย์ธุรกิจ ส่งเสริมประสิทธิภาพ และที่สำคัญที่สุดคือ ดูแลให้พนักงานมีความสุขและพร้อมเติบโตไปกับองค์กรในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติ

การปรับตัวและการเรียนรู้ที่จะนำข้อดีของ Work From Home มาผสานกับการทำงานในออฟฟิศอย่างลงตัว พร้อมทั้งใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัว จะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จขององค์กรในระยะยาว องค์กรที่สามารถสร้างระบบนิเวศการทำงาน (Work Ecosystem) ที่เอื้อต่อการทำงานทั้งในรูปแบบ Remote, Hybrid และ On-site อย่างไร้รอยต่อ จะเป็นผู้ได้เปรียบในตลาดแรงงาน เพราะคนยุคใหม่มองหาสิ่งใหม่ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและการทำงานอย่างลงตัว




Next
Next

รู้หรือไม่ ? ไม่ต้องใช้งบมหาศาลก็สร้างสวัสดิการที่ดีให้พนักงานได้